นโยบายเกี่ยวกับกระเป๋าสัมภาระระหว่างสายการบิน
ตามมติ IATA Resolution 302 กระบวนการแบบทีละขั้นตอนจะเป็นตัวกำหนดว่าจะใช้กฎของผู้ดำเนินการใดสำหรับการเดินทางระหว่างสายการบิน ในแต่ละช่วงของการโหลดกระเป๋าสัมภาระใต้ท้องเครื่อง:
- หากข้อกำหนดเกี่ยวกับกระเป๋าสัมภาระที่ได้ประกาศไว้ระหว่างสายการบินที่เข้าร่วมทั้งหมดเหมือนกัน ข้อกำหนดเหล่านี้จะมีผลบังคับใช้
- ในกรณีที่ข้อกำหนดเกี่ยวกับกระเป๋าสัมภาระที่ได้ประกาศไว้อย่างน้อยหนึ่งข้อหรือมากกว่า มีความแตกต่างกันระหว่างสายการบินที่เข้าร่วม ให้ใช้ข้อกำหนดทั่วไป และในกรณีที่ข้อกำหนดมีความแตกต่างกัน ให้นำข้อกำหนดเกี่ยวกับกระเป๋าสัมภาระที่ได้ประกาศไว้ของ “สายการบินหลัก” (MSC) มาใช้ หากเป็นเที่ยวบินรหัสร่วมให้ใช้ข้อกำหนดของสายการบินผู้ซึ่งเป็นผู้ทำการตลาด เว้นแต่ว่าสายการบินนั้นจะประกาศกฎที่ระบุว่าให้เป็นของสายการบินซึ่งเป็นผู้ดำเนินการได้
- หาก MSC ไม่ได้มีประกาศข้อกำหนดของตนเอง จึงจะให้ใช้กฎของสายการบินผู้ซึ่งเป็นผู้ที่เช็คอิน
- หากสายการบินผู้ซึ่งเป็นผู้ที่เช็คอินไม่ได้ประกาศข้อกำหนดของตนเอง ให้นำข้อกำหนดของผู้ดำเนินการโดยสารในแต่ละช่วงมาบังคับใช้
ตัวอย่างเช่น
ตัวอย่างที่ 1: ไทเป-{BR}-กรุงเทพฯ (หยุดแวะ)-{XX}-แฟรงก์เฟิร์ต (ไม่หยุดแวะ)-{YY}-โคเปนเฮเกน
ในตัวอย่างนี้การเดินทางถูกแยกออกด้วยการหยุดแวะในกรุงเทพฯ ดังนั้น จึงแยกออกเป็น 2 ช่วง และแต่ละช่วงมีผู้ดำเนินการโดยสารหลัก จากไทเปไปยังกรุงเทพฯ EVA Air เป็นสายการบินผู้ดำเนินการโดยสารหลัก และนโยบายสัมภาระของสายการบิน EVA Air จะนำมาใช้กับช่วงนี้ จากกรุงเทพฯ ไปแฟรงก์เฟิร์ต สายการบิน XX เป็นผู้ดำเนินการโดยสารหลักเนื่องจากเป็นสายการบินที่ดำเนินการในระยะทางทางภูมิศาสตร์ที่ไกลกว่าคือจากกรุงเทพฯ ไปยังแฟรงก์เฟิร์ต นโยบายสัมภาระของสายการบิน XX จะมีผลบังคับใช้กับทุกช่วงตั้งแต่กรุงเทพฯ ไปยังโคเปนเฮเกน
ตัวอย่างที่ 2: ซิดนีย์-{BB}-บริสเบน (ไม่หยุดแวะ)-{CC}-ไทเป (ไม่หยุดแวะ)-{BR}-ฮีทโธรว์
ในตัวอย่างนี้ มีผู้ดำเนินการโดยสารหลักเพียง 1 ราย เนื่องจากไม่มีการหยุดแวะพักระหว่างการเดินทาง EVA Air เป็นผู้ดำเนินการโดยสารหลักเนื่องจากเป็นผู้ดำเนินการในระยะทางทางภูมิศาสตร์ที่ไกลกว่าคือจากไทเปไปลอนดอน ดังนั้นเส้นทางจากซิดนีย์ไปลอนดอนจะใช้นโยบายกระเป๋าสัมภาระของ EVA Air
ตามระเบียบของกระทรวงคมนาคมของสหรัฐอเมริกา เมื่อแผนการเดินทางบนบัตรโดยสารของผู้โดยสารมีเที่ยวบินต้นทางหรือปลายทางอยู่ในสหรัฐอเมริกา สายการบินแรกบนบัตรโดยสารจะเป็นผู้กำหนดน้ำหนักกระเป๋าสัมภาระที่อนุญาตฟรีและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง (รวมถึงเที่ยวบินร่วม) ตัวอย่างเช่น หากแผนการเดินทางของผู้โดยสารคือฮูสตัน-ลอสแองเจลิส-ไทเป-ลอสแองเจลิส-ฮูสตัน เที่ยวบินแรกใช้เที่ยวบินของ United Airlines และเที่ยวบินหลังใช้เที่ยวบิน EVA Air ในการเดินทางตลอดเส้นทางทั้งหมดนี้ต้องใช้นโยบายสัมภาระของสายการบิน United Airlines รวมทั้งในเส้นทางของการเดินทางกลับ
สำนักงานขนส่งของแคนาดามีข้อบังคับในทำนองเดียวกันสำหรับแผนการเดินทางบนบัตรโดยสารของผู้โดยสารที่มีเที่ยวบินต้นทางหรือปลายทางอยู่ในแคนาดา คุณสามารถติดต่อตัวแทนท่องเที่ยวของคุณ ตรวจสอบเว็บไซต์ของพันธมิตรระหว่างสายการบิน หรือติดต่อสำนักงานบัตรโดยสารของ EVA Air เพื่อตรวจสอบระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการโหลดกระเป๋าสัมภาระใต้ท้องเครื่อง
ข้อจำกัดในการติดแท็กกระเป๋าสัมภาระ
หากคุณมีแผนการเดินทางที่มีเที่ยวบินมากกว่าหนึ่งเที่ยวบินกับ EVA/UNI Air และ/หรือหนึ่งในสายการบินพันธมิตรของเราอยู่ในบัตรโดยสารใบเดียวกัน เราจะโหลดกระเป๋าสัมภาระของคุณไปจนถึงปลายทางท้ายสุดที่อยู่บนบัตรโดยสารของคุณเมื่อเวลาระหว่างเที่ยวบินน้อยกว่า 12 ชั่วโมง หากคุณจะพักู่ที่จุดต่อเครื่องนานกว่า 12 ชั่วโมง คุณจะต้องรับกระเป๋าสัมภาระของคุณและนำกลับมาเช็คอินอีกครั้ง อาจมีค่าธรรมเนียมกระเป๋าสัมภาระเพิ่มเติม
เนื่องจากข้อบังคับของรัฐบาลหรือข้อจำกัดอื่นๆ (เช่น การเปลี่ยนอาคารโดยสาร) กระเป๋าสัมภาระของคุณอาจไม่สามารถส่งต่อกันภายในในบางประเทศ จึงทำให้สามารถโหลดกระเป๋าสัมภาระขณะเช็คอินไปถึงเมืองที่เป็นเมืองเข้าออกของประเทศเท่านั้น คุณต้องรับกระเป๋าสัมภาระของคุณที่เมืองที่เป็นเมืองเข้าออกของประเทศ ผ่านด่านศุลกากร และจัดการส่งต่อกระเป๋าสัมภาระไปยังสายการบินที่ต่อเครื่อง